การค้าปลีกแบบมีร้านค้า (Stores Retailing)
ในปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมที่จะหาซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าต่างๆ ที่ขายสินค้าหรือบริการมากมายหลายชนิด ดังนั้นประเภทของร้านค้าปลีกจึงมีความสำคัญ สำหรับการจัดการช่องทางการตลาดเป็นอย่างมาก โดยการค้าปลีกแบบมีร้านค้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 11 ประเภท ดังนี้1. ร้านค้าขายสินค้าเฉพาะอย่าง (specialty store)
ร้านค้าขายสินค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) เช่น ร้านแฟชั่นขายสินค้ากลุ่มแฟชั่น ตั้งแต่ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ร้านขายดอกไม้ ร้านขายไอศกรีม หรือ ร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าเฉพาะอย่างเพียงอย่างเดียวในราคาถูกกว่าร้านทั่วๆไป เรียกว่า คาเทกอรี่ คิลเลอร์ (category killer) เช่น ร้านขายอุปกรณ์กีฬาร้านขายรองเท้า ร้านค้าประเภทนี้จะขายสินค้าประเภทเดียว แต่มีแบบ มีขนาด มีสีสันหรือมียี่ห้อให้เลือกครบตามที่ลูกค้าต้องการ
2. ห้างสรรพสินค้า (department store)
เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ขายสินค้าหลายประเภทหลายชนิดรวมกัน มีการแบ่งสินค้าออกเป็นแผนกตามหมวดหมู่สินค้า โดยสินค้าที่อยู่ในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ก็จะถูกจัดไว้รวมกันหรือใกล้กัน ทั้งนี้เพื่อให้การจัดวางสินค้า การส่งเสริมการขาย การให้บริการลูกค้า
3. ศูนย์การค้าครบวงจร (shopping center or shopping complex)
ศูนย์การค้าครบวงจรมีพัฒนาการมาจากห้างสรรพสินค้า เป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ภายใต้แนวคิดที่ให้บริการครบถ้วนมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสิ่งที่ต้องการได้ในสถานที่แห่งเดียว (one stop shopping) กล่าวคือ นอกจากจะมีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าแล้ว ยังเพิ่มแหล่งบันเทิง เช่น สวนสนุก ศูนย์อาหารขนาดใหญ่ และโรงภาพยนตร์เข้าไปด้วย ทำใหผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อของควบคู่ไปกับการหาความบันเทิงไปพร้อมกัน
4. ร้านสรรพาหาร (supermarket)
เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญที่ความสด ใหม่ และความหลากหลายของอาหาร สินค้าที่ขายส่วนใหญ่ ได้แก่ อาหารสด อาหารกระป๋อง ของชำและสิ่งจำเป็นที่ใช้ในบ้าน เช่น เครื่องสุขภัณฑ์ อุปกรณ์การทำอาหาร ฯลฯ
5. ร้านค้าสะดวกซื้อ (convenience store)
เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน รวมทั้งจำหน่ายอาหารพร้อมทาน ร้านค้าสะดวกซื้อหลายแห่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
6. ร้านขายสินค้าลดราคา (discount store)
ร้านค้าปลีกประเภทนี้โดยทั่วไปมักจะเน้นจำหน่ายสินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในราคาที่ถูก ส่วนใหญ่จะอยู่ชานเมือง สถานที่จำหน่ายจะมีลักษณะง่ายๆ ไม่มีความหรูหรามากเพื่อลดต้นทุนในการก่อสร้าง เช่น แฟคทอรี่ เอาเล็ท
7. พ่อค้าปลีกขายสินค้าราคาถูก (off-price retailer)
เป็นร้านที่คิดราคาสินค้าต่ำกว่าราคาขายปลีกทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากสามารถซื้อสินค้าในราคาที่ต่ำกว่า เช่น คาราวานสินค้า
8. ร้านขายสินค้าขนาดใหญ่ (superstore)
เป็นร้านค้าปลีกที่เน้นให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ในสถานที่แห่งเดียว (one stop shopping) ประกอบด้วยร้านสรรพาหาร สินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องไฟฟ้า เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม มาวางขายเพิ่มเติม แต่สินค้าที่นำมาจำหน่ายนี้จะไม่พิถีพิถันในเรื่องของยี่ห้อ และคุณภาพสูงเหมือนกับห้างสรรพสินค้า ราคาของสินค้าก็ถูกกว่าห้างสรรพสินค้าด้วย
9. ร้านขายของชำหรือโชห่วย (grocery store หรือ mom & pop store หรือ provincial store) เป็นร้านค้าแบบดั้งเดิมจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคขนาด 1-2 คูหา ซึ่งผู้ทำหน้าที่ในการบริหารยังคงเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ร้านที่เรียกขานตัวเองว่า “มินิมาร์ท” ที่เห็นกันทั่วไปทุกวันนี้ จัดเป็นได้เพียงร้านขายของชำที่มีการปรับปรุงตกแต่งให้สวยงามขึ้นเท่านั้น
ดีมากค่ะ
ตอบลบ